โรคหัวใจและหลอดเลือด เรารู้อะไรบ้าง ?
- โรคหัวใจและหลอดเลือดหรือที่เรียกว่า Cardiovascular disease (CVDs) เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งในทั่วโลก
- ในปี 2016 มีผู้เสียชีวิตจาก CVDs 17.9 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 31% ของสาเหตุการตายทั้งหมดทั่วโลก
- มากกว่า 3 ใน 4 ส่วนของผู้เสียชีวิตจากโรค CVDs เกิดขึ้นในประเทศรายได้ต่ำ - รายได้ปานกลาง (low - middle income countries)
- โรคหัวใจและหลอดเลือดส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น
อาหารการกิน , การสูบบุหรี่, โรคอ้วน(obesity), การออกกำลังกาย, การดื่มแอลกอฮอล์ - Cardiovascular Disease และ Heart Disease (โรคหัวใจ) ที่จริงแล้วมีความหมายใกล้เคียงกัน เป็นคำพูดกว้างๆที่ใช้พูดถึงโรคที่เกิดขึ้นกับหัวใจและหลอดเลือด เพียงแต่ โรคหัวใจจะพูดเจาะจงไปถึงโรคที่เกิดขึ้นกับหัวใจ ในขณะที่ Cardiovascular Disease จะรวมไปถึงโรคที่เกิดขึ้นกับหลอดเลือดด้วย
- สาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือดคือ ก้อนไขมันเล็กๆรวมตัวกันกลายเป็น Plaque ฝังอยู่ในผนังหลอดเลือดซึ่งไปขัดขวางการลำเลียงไปส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น สมอง, หัวใจ
- คอเลสเตอรอลคือตัวการสำคัญ แต่ไม่ใช่คอเรสตอลรอลทุกตัวเป็นตัวร้าย คอเลสเตอรอลตัวร้ายที่ทำให้เกิด Plaque คือ LDL คอเลสเตอรอลตัวดีที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคคือ HDL
- วิธีป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยและห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้แก่ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ปลา, ผักผลไม้, ข้าวกล้อง, นมไขมันต่ำ , ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ไม่สูบบุหรี่, ควบคุมน้ำหนักให้ช่วง BMI 18.5-24.9 kg/m2
อะไรคือโรคหลอดเลือดหัวใจ?
เมื่อพูดถึง Cardio คนทั่วไปจะนึกถึงการออกกำลังกายแบบ Cardio เช่น เต้นแอโรบิค, วิ่ง, ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งรากศัพท์ของคำว่า Cardio แปลว่า หัวใจ ส่วน Vascular หมายถึงหลอดเลือด ( Blood Vessels) ในร่างกาย
Cardiovascular diseases หรือ CVDs คือกลุ่มอาการของโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งประกอบไปด้วยหลายอาการ อาทิเช่น
- Coronary heart disease (CAD) หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเกิดการเกาะของคราบไขมัน (Plaque) ในตำแหน่งหลอดเลือดแดงที่มาหน้าที่ลำเลียงไปยังหัวใจโดยตรงหรือก็คือเส้นหลอดเลือด coronary arteries ซึ่ง Plaques ตัวนี้เกิดขึ้นจากการสะสมตัวของคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดเดือง ซึ่งมีผลทำให้หลอดเลือดแคบลง และไปขัดขวางการลำเลียงเลือดและทำให้เลือดที่ไหลเวียนไปกล้ามเนื้อหัวใจถูกจำกัด ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้หัวใจวาย (Heart Attack)
- Cerebrovascular disease หรือ โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เราเรียกกันว่า Stroke ที่มีก้อนเลือด (Blood Clot) ไปขัดขวางการลำเลียงเลือดไปยังสมอง ซึ่งถ้าคนไข้ไม่สามารถได้รับการรักษาหรือได้รับยาละลายลิ่มเลือดได้ภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะเกิดเป็น อัมพาต หรืออัมพฤกษ์
- Peripheral Arterial Disease (PAD) หรือ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน คืออาการที่เส้นเลือดแดงตีบและอุดตันไม่สามารถลำเลียงเลือดได้มากพอ ส่งไปยังบริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนแขนและขา
- Rheumatic heart disease คืออาการที่ลิ้นหัวใจได้รับความเสียหายจากโรคไข้รูมาติก ไข้รูมาติกเกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า streptococcus ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อเกี่ยวกัน (Connective Issue) ในร่างกาย โดยเฉพาะ หัวใจ, ข้อต่อ ,ผิวหนัง หรือสมองรวมไปถึงลิ้นหัวใจ ซึ่งทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น และมีโอกาสที่จะเกิดอาการหัวใจวายได้
- Congenital heart disease หรือ โรคหัวใจแต่กำเนิด เป็นอาการผิดปกติของหัวใจตั้งแต่กำเนิด
- Abnormal Heart Rhythms ( Arrhythmias) หรือ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปกติแล้วหัวใจคนเราจะเต้นอยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อนาทีเวลาหยุดพัก, 100-120 ครั้งต่อนาทีเวลาวิ่ง , 50-60 ครั้งตอนนอน แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะมีอาการหัวใจเต้นเร็วเกินไปหรือช้ากว่าปกติ
เมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะส่งผลให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายเช่น ปอด, หัวใจ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้อวัยยะเหล่านั้นทำงานได้ไม่เต็มที่และอาจทำให้อวัยวะเสียหายหรือหยุดการทำงาน
- Deep vein thrombosis and pulmonary embolism
Deep vein thrombosis (DVT) หรือ ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก ในร่างกายคนเราเมื่อเลือดไหลเวียนช้าลงจนทำให้เกิดการจับตัวเป็นกลุ่มของเซลล์เม็ดเลือดหรือที่เราเรียกกันว่า " Blood Clot " หรือ ลิ่มเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในบริเวณขา ซึ่งถ้ามันหลุดไปถึงบริเวณปอด และไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดหรือที่คุณหมอเรียกกันว่า Pulmonary embolism หรือภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด ซึ่งอันตรายและมากและมีโอกาสที่จะทำให้เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพูดถึง Cardiovascular disease จะกล่าวถึง 3 โรคหลักๆ คือโรคหลอดเลือดหัวใจ, หลอดเลือดสมอง (Stroke), โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตันซึ่งเกิดขึ้นจากการแข็งตัวของหลอดเลือด ( Atherosclerosis)
Atherosclerosis หรือสภาวะแข็งตัวของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงแคบลงและไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไขมันก้อนเล็กๆ ที่มีคอเลสเตอรอลอยู่ในตัว สะสมตัวกันที่ผนังหลอดเลือด เมื่อเวลาผ่านไปก้อนไขมันตัวนี้ใหญ่ขึ้นและแข็งตัวขึ้นจนกลายเป็น Plaque ซึ่ง Plaque นี้เองที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ใน Cardiovascular Disease เพราะมันเป็นตัวไปขัดขวางการลำเลียงเลือด เช่น ถ้าเกิดในตำแหน่ง Corona arteries ก็จะขัดขวางเลือดที่ไหลเวียนเข้ามาเลี้ยงหัวใจ ถ้าไปขัดขวางในตำแหน่งสมองก็ทำให้เกิด Stroke เป็นต้น
อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนคงพอจะสรุปได้ว่า คอเลสเตอรอลคือต้นเหตุทั้งหมดที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคหัวใจที่ดีที่สุดคือหยุดรับประทานอาหารที่มี คอเลสเตอรอล.... ซึ่งจริงๆเข้าใจถูกแค่ครึ่งเดียวนะครับ
อันที่จริงแล้วคอเลสเตอรอลมีทั้งตัวดีและตัวไม่ดี หรือที่เราเรียกกันว่า LDL กับ HDL ซึ่ง DL นี้ย่อมาจาก density lipoprotein หรือเรียกว่า " ไลโพโปรตีน "
ไลโพโปรตีนจะทำหน้ารับส่งคอเลสเตอรอลจากเซลล์ต่างๆในร่างกาย
LDL (low-density lipoprotein) หรือที่เราเรียกกันว่าคอเลสเตอรอลตัวร้าย เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมตัวของไขมันในหลอดเลือด และก่อให้เกิด Plaque เกาะตามหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงในโรคหัวใจ, Stroke และโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน
HDL (high-density lipoprotein) หรือที่เรียกกันว่าคอเลสเตอรอลตัวดี เพราะว่าการที่ร่างกายมีปริมาณ HDL ที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันจากหัวใจวายและ Stroke การมีระดับ HDL สูงในร่างกายช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
เป็นเพราะว่า HDL จะเป็นตัวนำคอเลสเตอรอลตัวร้ายหรือ LDL ไปทำลายที่ตับ
ควรดูแลตัวเองอย่างไรให้ไกลห่างโรคหัวใจ ?
1. กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Healthy Diet)
สมาคมโรคหัวใจของอเมริกา (American Heart Association) ได้แนะนำไลฟ์สไตล์ในการรับประทานอาหารดังต่อไปนี้
อาหารที่ควรรับประทาน
แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีไขมั่นอิ่มตัวและไขมันทรานส์ อาทิเช่น
- รับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลาย
- Whole-grain food เช่น Whole grain bread, ธัญพืช, พาสต้า, ข้าวกล้อง
- นมพร่องมันเนย (Fat-free,1% and low-fat milk)
- เนื้อจากสัตว์ปีกที่ไม่ติดหนังและเนื้อไม่ติดมัน ( Lean meat ) และถ้าเลือกรับประทานเนื้อแดง หรือหมู ให้เลือกซื้อเนื้อสัน (Lion) หรือเนื้อส่วนสะโพก (Round)
- ปลาที่มีกรดไขมันสูง เช่น แซลมอน, ปลาเทราต์, ปลาทูน่า, และปลาซาดีน ซึ่งมีกรดไขมันโอมาก้า-3 สูงซึ่งดีต่อร่างกาย ควรรับประทานอย่างน้อย 8 ออนส์หรือประมาณ 226.80 กรัม ต่อสัปดาห์ (ไม่ทอด)
- รับประทานอาหารจำพวก ถั่ว, เมล็ดต่างๆ ( Unsalted nuts, seeds, and legumes (dried beans or peas)
- น้ำมันพืชประเภท non-tropical oils เช่น น้ำมันคาโนลา, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันมะกอก (Olive oil) และ น้ํามันทานตะวัน
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารเค็มที่มีเกลือเยอะ American Heart Association แนะนำว่าไม่ควรบริโภคเกลือเกิน 2,300 มิลลิกรัม (mgs) ต่อวัน และดีที่สุดคือไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม
- ขนมหวานหรือเครื่องดื่มรสหวาน (Sugar-Sweetened Beverage) American Heart Association แนะนำว่าสำหรับผู้ชายไม่ควรบริโภคน้ำตาล เกิน 36 กรัมหรือ 9 ช้อนชา และ ไม่เกิน 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชา สำหรับผู้หญิงและเด็ก (ตั้งแต่ 2 ขวบขึ้น)
- เนื้อหมู,วัว , แกะ ที่ยังไม่ได้นำไขมันส่วนเกินออก ( Trim off as much fat as you can )
- Full-Fat dairy product เช่น นมเต็มมันเยน (Whole milk) , ครีม, ไอศครีม,เนย และชีส
- โดนัท, เค้ก,คุกกี้ ที่ทำจากไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว
- อาหารที่มีส่วนประกอบของ Hydrogenated oils
- Tropical Oils เช่น น้ำมันมะพร้าว,น้ำมันปาล์ม หรือ น้ำมันที่สกัดจากเนื้อในเมล็ดปาล์ม ( palm kernel oil)
- อาหารทอด
2. ไม่สูบบุหรี่
3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
น้ำหนักในเกณฑ์ที่เหมาะสมที่แนะนำโดย American Heart Association คืออยู่ในช่วง 18.5 - 24.9 kg/m2
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที
Reference
1. Cardiovascular diseases (WHO)
2. Cardiovascular Diseases WebMD
3. Cardiovascular diseases (NHS)
4. ตรวจเช็กสุขภาพหลอดเลือดก่อนสาย
5. Peripheral Artery Disease (PAD)
6. Cardiovascular disease and heart disease: What's the difference?
7. Rheumatic Heart Disease
8. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ Cardiac Arrhythmia
9. ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
10. About Arrhythmia
11. Coronary Artery Disease - Coronary Heart Disease
12. HDL (Good), LDL (Bad) Cholesterol and Triglycerides
13. LDL and HDL Cholesterol: "Bad" and "Good" Cholesterol
14. Shaking the Salt Habit to Lower High Blood Pressure
15. How Too Much Added Sugar Affects Your Health Infographic
16. By the way, doctor: Is palm oil good for you?
17. Body Mass Index (BMI) In Adults